กฎหมายถือว่าเด็กซึ่งเกิดจากหญิงที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับชาย
เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๖
ทีมทนายลำพูน
และทนายความในจังหวัดลำพูน มีความเห็นว่า การรับรองบุตร
เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้
เมื่อได้จดทะเบียนเด็กเป็นบุตรแล้วจะถอนมิได้ โดยสิทธิต่างๆของบุตร
มีผลย่อนหลังไปตั้งแต่วันที่เด็กเกิด โดยไม่คำนึงว่าเด็กจะกลายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่
สามารถทำได้
๓ วิธี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๗
๑
เมื่อบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง
แม้การสมรสดังกล่าวจะเป็นโมฆะหรือโมฆียะก็ตาม
๒
บิดาจดทะเบียนรับรองว่าเด็กเป็นบุตร หมายถึง ทะเบียนรับรองบุตร คร.๑๑
สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ ซึ่งวิธีการนี้ไม่ต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็ก
แต่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาของเด็ก
โดยทั้งสองคนต้องไปให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน แต่หากบุคคลทั้งสองไม่อาจให้ความยินยอมได้
เช่น มารดาถึงแก่ความตายแล้วหรือมารดาวิกลจริต
หรือกรณีเด็กไม่อาจแสดงเจตนาให้ความยินยอมได้ เช่น อายุยังน้อยเกินไป เป็นต้น
กรณีนี้นายทะเบียนจะจดทะเบียนรับรองบุตรไม่ได้ จนกว่าจะมีคำสั่งของศาล
๓
ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ในกรณีบิดาไม่สมัครใจยินยอม
"ทั้งนี้เพื่อเป็นการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของบิดาและบุตร
ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป"
ผลเสียการไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
๑
เสียสิทธิต่างๆตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในลักษณะ ๑ หมวด ๒ แห่งบรรพ ๕
๒
ไม่สามารถเรียกให้บิดาจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
๓
หากบุคคลภายนอกทำละเมิดให้บิดาตาย บุตรไม่สามารถฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้
๔
บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้จะถือว่าเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๖๒๗ คือบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว แต่ในความเป็นจริงมักจะถูกผู้จัดการมรดกปฏิเสธว่าไม่ใช่บุตร
จึงต้องมีภาระการพิสูจน์ความเป็นบุตรที่แท้จริง
๕
หากบิดาเป็นข้าราชการ เมื่อบิดาตาย บุตรมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอด
แต่เมื่อบุตรไปขอรับเงินจากทางราชการ
แต่ทางราชการจะปฏิเสธว่าต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ทำให้บุตรต้องมายื่นคำฟ้องต่อศาลก่อน
ซึ่งจะทำให้ถูกทายาทเจ้ามรดกคัดค้านว่าไม่ใช่บุตร
๖
การลดหย่อนภาษี
๗
Visa
ประเภทอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ในกรณีบิดาเป็นชาวต่างชาติ
เอกสารประกอบการยื่นคำร้อง
มีดังนี้
๑
บัตรประจำตัวประชาชนของบิดา และมารดา
๒
ทะเบียนบ้านของบิดา มารดา และบุตร
๓
สูติบัตรของบุตร
๔
ใบมรณบัตรของมารดา (กรณีมารดาเสียชีวิต)
๕
ใบเปลี่ยนชื่อตัว / ชื่อสกุล ของบิดา มารดา และบุตร (ถ้ามี)
๖
หนังสือให้ความยินยอมของมารดาของเด็ก กรณีมารดายังมีชีวิต
๗
ใบสำคัญการหย่าของมารดา (ถ้ามี)
๘
ภาพถ่ายแสดงความสัมพันธ์ ของ บิดา มารดา และบุตร (ในรูปภาพควรมีญาติอยู่ด้วย)
๙
หนังสือรับรองการเรียนของบุตร จากโรงเรียน
๑๐
ผลตรวจสารพันธุกรรมหรือ DNA
ของสถานพยาบาลของรัฐ
(กรณีมารดาเสียชีวิต)
เอกสารเพิ่มเติม
(กรณีบิดาเป็นชาวต่างชาติ)
๑๑
หนังสือเดินทาง PASSPORT
พร้อมแปลภาษาไทย
๑๒
VISA
แสดงการเข้า-ออกราชอาณาจักร
๑๓
กฎหมายเกี่ยวกับรับรองบุตรของประเทศของบิดาหรือมารดาต่างชาติ
กรณีโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องการขัดกันของกฎหมาย
ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. ๒๔๘๑
ขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินคดี
กำหนดวันนัดไต่สวนคำร้อง
ไม่น้อยกว่า ๔๕ วัน และภายในเวลา ๑๕ วัน บิดาต้องนำบุตร
และมารดาไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนฯ
เพื่อรายงานข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อศาลประกอบในการพิจารณา ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว
มาตรา ๑๑๗ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้อง มารดา และบุตร
ต้องมาศาลพร้อมนำเอกสารตัวจริง เมื่อพ้น ๑ เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
บิดาสามารถขอคัดถ่ายคำสั่งศาล และขอหนังสือสำคัญแสดงคดีถึงที่สุด
แล้วนำไปดำเนินการจดทะเบียน ณ สำนักงานเขต / ที่ว่าการอำเภอใดก็ได้
รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๒ - ๓ เดือน
ค่าธรรมเนียมศาล
๑
ค่าขึ้นศาล ๒๐๐ บาท
๒
ค่าประกาศหนังสือพิมพ์ ๕๐๐ บาท
๓
ค่าปิดประกาศคำร้อง ตามภูมิลำเนาผู้ร้อง ไม่เกิน ๗๐๐ บาท
๔
ค่าส่งหมายและสำเนาคำร้องไปยังคู่ความอีกฝ่าย ไม่เกิน ๗๐๐ บาท
๕
ค่าส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนฯ ๓๐๐ บาท
ตัวอย่าง
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ น่าสนใจ
ประเด็น
ยื่นคำร้อง โดยที่ยังไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบสำนักงานทะเบียน
สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ ถือว่าชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๙๘๒/๒๕๕๑
ป.พ.พ.
มาตรา ๑๕๔๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก
ส่วนวรรคสามและวรรคสี่บัญญัติว่า
ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดาหรือไม่ให้ความยินยอมหรือไม่อาจให้ความยินยอมได้
การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล ทีมทนายลำพูน และทนายความในจังหวัดลำพูน
ขอเรียนว่า ขอเรียนว่าจากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประสงค์ให้เด็กเป็นผู้ให้ความยินยอมเป็นการเฉพาะตัว
การที่นายทะเบียนแจ้งแก่ผู้ร้องว่าไม่สามารถรับจดทะเบียนให้ได้โดยไม่แจ้งการขอจดทะเบียนของผู้ร้องไปยังผู้คัดค้านและเด็กก่อนตาม
มาตรา ๑๕๔๘ วรรคสอง หรือตาม พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัวฯ มาตรา ๑๙ วรรคสอง
เพราะปรากฏว่าขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนขอจดทะเบียนนั้น เด็กหญิง ป.
อายุเพียง ๓ ปีเศษ ยังไร้เดียงสาไม่สามารถให้ความยินยอมได้
จึงเป็นการปฏิบัติถูกต้องตาม พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัวฯ มาตรา ๑๙ แล้ว
ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องจดทะเบียนเด็กหญิง ป.
เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้
ประเด็น
ยื่นคำฟ้อง โดยที่ยังไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบสำนักงานทะเบียน
สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ ถือว่าไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๖๔๗/๒๕๒๑
บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ถ้า) ประสงค์จะจดทะเบียนบุตรที่เกิด
ก่อนสมรสให้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายจะต้องไปขอจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อสำนักทะเบียน
ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านการขอจดทะเบียนบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงจะมีอำนาจนำคดีมาฟ้องศาลได้โดยฟ้องเด็กและมารดาร่วมกันเป็นจำเลย ทีมทนายลำพูน
และทนายความในจังหวัดลำพูน ขอเรียนว่าเมื่อปรากฏทั้งจากคำบรรยายฟ้องของโจทก์และทางนำสืบว่าก่อนฟ้อง
โจทก์ไม่เคยไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองเด็กชายโอภาสต่อนายทะเบียนหรือจำเลยได้คัดค้านการขอจดทะเบียนข้อโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายจึงยังไม่เกิดขึ้นแก่โจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาล
แม้จำเลยจะมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์
ไว้ในคำให้การและไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกาก็ยกขึ้นได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๔๒(๕)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยไปให้ความยินยอมจดทะเบียนว่าเด็กชาย
อ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์ มอบคืนเด็กชาย
อ. แก่จำเลย แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์ เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลก็พิพากษาให้โจทก์มอบเด็กชาย อ. คืน ให้กับจำเลยตามฟ้องแย้งได้
ประเด็น
มารดาเด็กสามารถฟ้องให้บิดารับรองบุตร พร้อมเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในคดีเดียวกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๒๒๖๘/๒๕๓๓
ป.พ.พ.
มาตรา ๑๕๕๖ วรรคสอง ให้อำนาจเด็กฟ้องคดีให้รับรองเด็กเป็นบุตรได้เองโดยเฉพาะ
ขณะยื่นฟ้องเด็กซึ่งเป็นโจทก์ก็ยังไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย
คดีของโจทก์จึงไม่เป็นคดีอุทลุมไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๒
ส่วนฟ้องของโจทก์ในเรื่องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู
ซึ่งเป็นผลหลังจากที่มีการรับรองความเป็นบุตรของโจทก์แล้ว
และเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการรับรองบุตร ทีมทนายลำพูน และทนายความในจังหวัดลำพูน
ขอเรียนว่า โจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูด้วย
ประเด็น
ฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหลายคน ศาลจะสั่งรวมไม่ได้ ต้องสั่งเป็นรายบุคคลไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๓๕๙๖/๒๕๔๖
สิทธิของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาเป็นสิทธิของบุตรผู้เยาว์แต่ละคนจะพึงได้รับตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งคดี
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑
กำหนดให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองรวมกันมาจึงไม่ถูกต้อง
ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
ประเด็น
บิดาฟ้องรับรองบุตร สามารถขอถอนอำนาจปกครองมารดาในคดีเดียวกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๔๓๒๓/๒๕๔๐
ในการถอนอำนาจปกครองนั้น
กฎหมายให้อำนาจศาลถอนเสียได้โดยลำพังโดยไม่ต้องให้ผู้ใดร้องขอก็ได้
หากมีเหตุตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา ๑๕๘๒ วรรคหนึ่ง ทีมทนายลำพูน และทนายความในจังหวัดลำพูน
ขอเรียนว่า ดังนั้น
แม้ในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องผู้ร้องยังมิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ก็ตาม
แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลว่ามารดาของผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ที่อื่นและสมรสใหม่ตั้งแต่ผู้เยาว์อายุได้เพียงปีเศษและไม่เคยกลับมาดูแลผู้เยาว์อีกเลย
กรณีจึงเป็นการที่มารดาผู้เยาว์ใช้อำนาจปกครองแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาถอนอำนาจปกครองจากมารดาผู้เยาว์
และเมื่อปรากฏว่าผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้องมาโดยตลอด
การให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ย่อมเหมาะสมกว่า
อายุความ
ทีมทนายลำพูน
และทนายความในจังหวัดลำพูน ขอเรียนว่า กรณีบุตรฟ้องให้บิดารับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
หากอายุเกิน ๒๑ ปี บิดาสามารถปฏิเสธการรับเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายได้
โดยยกอายุความขั้นต่อสู้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๓๓๐๔/๒๕๒๘
อายุความ
๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕๖ นั้น คู่ความจะต้องยกขึ้นเป็นประเด็น
ศาลจึงวินิจฉัยให้ตาม มาตรา ๑๙๓
ศาลจะยกอายุความขึ้นวินิจฉัยเองโดยไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นเป็นประเด็นไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา
๑๕๔๘ บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อ
เมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก
ในกรณีที่เด็กและมารดาเด็กไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน
ให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนของบิดาไปยังเด็กและมารดาเด็ก ถ้า
เด็กหรือมารดาเด็กไม่คัดค้านหรือไม่ให้ความยินยอมภายใน ๖๐ วันนับแต่การ
แจ้งนั้นถึงเด็กหรือมารดาเด็ก ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม
ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กอยู่นอกประเทศไทยให้ขยายเวลานั้นเป็น ๑๘๐ วัน
ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดา
หรือไม่ให้ความยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตร
ต้องมีคำพิพากษาของศาล
เมื่อศาลได้พิพากษาให้บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรได้
และบิดาได้นำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียน
ให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนให้
มาตรา
๑๕๕๕ ในคดีฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑)
เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า
หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้
(๒)
เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาวหรือมีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้
(๓)
เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตน
(๔)
เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้งการเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น
(๕)
เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้
(๖)
เมื่อได้มีการร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้
และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น
(๗)
เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตร
พฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตรนั้น
ให้พิจารณาข้อเท็จจริงที่แสดงความเกี่ยวข้องฉันบิดากับบุตรซึ่งปรากฏในระหว่างตัวเด็กกับครอบครัวที่เด็กอ้างว่าตนสังกัดอยู่
เช่น บิดาให้การศึกษา
ให้ความอุปการะเลี้ยงดูหรือยอมให้เด็กนั้นใช้ชื่อสกุลของตนหรือโดยเหตุประการอื่น
ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังกล่าวข้างต้น
ถ้าปรากฏว่าชายไม่อาจเป็นบิดาของเด็กนั้นได้ ให้ยกฟ้องเสีย
มาตรา
๑๕๕๗ การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๑๕๔๗ ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด
แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้
มาตรา
๑๕๕๖ การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในระหว่างที่เด็กเป็นผู้เยาว์
ถ้าเด็กมีอายุยังไม่ครบ ๑๕ ปีบริบูรณ์ ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กเป็นผู้ฟ้องแทน
ในกรณีที่เด็กไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม
หรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ญาติสนิทของเด็กหรืออัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็กก็ได้
เมื่อเด็กมีอายุ
๑๕ ปีบริบูรณ์ เด็กต้องฟ้องเอง ทั้งนี้
โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
ในกรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้ว
จะต้องฟ้องคดีภายใน ๑ ปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะ
ในกรณีที่เด็กตายในระหว่างที่เด็กนั้นยังมีสิทธิฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรอยู่
ผู้สืบสันดานของเด็กจะฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก็ได้
ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรมาก่อนวันที่เด็กนั้นตาย
ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย
ถ้าผู้สืบสันดานของเด็กได้รู้เหตุที่อาจขอให้รับเด็กเป็นบุตรภายหลังที่เด็กนั้นตาย
ผู้สืบสันดานของเด็กจะต้องฟ้องภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่รู้เหตุดังกล่าว แต่ทั้งนี้
ต้องไม่พ้น ๑๐ ปีนับแต่วันที่เด็กนั้นตาย
มาตรา
๑๕๕๙ เมื่อได้จดทะเบียนเด็กเป็นบุตรแล้วจะถอนมิได้
พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย
พุทธศักราช ๒๔๘๑
ภาค
๕ ครอบครัว
มาตรา
๒๙ การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติแห่งสามีของมารดาในขณะที่บุตรนั้นเกิด
ถ้าหากในขณะที่กล่าวนั้น สามีได้ถึงแก่ความตายเสียแล้ว
ก็ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของสามีในขณะที่ถึงแก่ความตายให้ใช้กฎหมายเช่นเดียวกันบังคับการฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร
มาตรา
๓๐ สิทธิและหน้าที่ระหว่างบิดามารดากับบุตรชอบด้วยกฎหมาย
ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบิดา
ในกรณีที่เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย
สิทธิและหน้าที่ระหว่างมารดากับบุตร ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของมารดา
มาตรา
๓๑ การรับเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบิดาในขณะที่รับเป็นบุตร
ถ้าหากในขณะนั้นบิดาได้ถึงแก่ความตายเสียแล้ว
ก็ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบิดาขณะที่ถึงแก่ความตาย
ข้อแนะนำเพิ่มเติมจากทีมทนายลำพูน และทนายความลำพูน
๑
สำหรับกรณีมารดาเด็กและตัวเด็กเองไม่ได้ให้ความยินยอม
บิดาต้องยื่นส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องให้มารดาเด็กเข้ามาคัดค้านในคดี
๒
การจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียน เด็กที่สามารถให้ความยินยอมได้ ต้องอายุเกิน
๘ ปีบริบูรณ์
๓
การตรวจ DNA
ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว
ถ้าเจ้าตัวฝ่ายใดไม่ให้ความยินยอม
กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง
๔
DNA
ต้องตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น
เช่น ร.พ.รามาธิบดี ค่าบริการคนละ ๖,๕๐๐ บาท
๕
กรณีมารดาชีวิตแล้ว ศาลจะมีคำสั่งบังคับให้บิดากับบุตรไปตรวจ DNA แล้วนำผลมาแสดงต่อศาลก่อนวันนัดไต่สวน
๖
ภายหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนของศาล บิดาต้องนำเอกสาร อันได้แก่ คำพิพากษา และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด
ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานเขต / ที่ว่าการอำเภอ
ใดก็ได้ พร้อมพยาน ๒ คน จึงที่ถือว่าสมบูรณ์
๗
การให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่สถานพินิจ
บิดามารดาต้องแสดงหลักฐานตัวจริงต่างๆเช่นเดียวกับที่ต้องแสดงต่อศาล
๘
บิดาสามารถเลือกยื่นคำร้องต่อศาลได้ทั้งภูมิลำเนาของตน
หรือที่อยู่กินกันกับมารดาของบุตร
๙
กรณีพ่อหรือแม่เป็นชาวต่างชาติ ไม่สามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้
ต้องใช้ล่ามในการให้ถ้อยคำสถานพินิจและในชั้นศาล
๑๐
เพียงแต่การแจ้งในสูติบัตรบุตรว่าเป็นบิดา ไม่ถือว่าเป็นการจดทะเบียนรับรองบุตร
แต่เป็นหลักฐานหรือข้อเท็จจริงเบื้องต้นสำหรับการฟ้องคดีต่อศาลเท่านั้น
๑๑
การฟ้องคดีบิดาให้รับเด็กเป็นบุตร เมื่อเด็กอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ต้องฟ้องด้วยตนเอง
หากเด็กยังไม่ครบ ๑๕ ปีบริบูรณ์ต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ฟ้องแทน
๑๒
หากต้องการใช้คำพิพากษามีผลบังคับใช้ในประเทศของบิดาต่างชาติ
ต้องแสดงข้อกฎหมายของประเทศนั้นๆต่อศาลด้วย
๑๓
กรณีบิดาตาย บุตรสามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งรับรองเป็นบุตรของผู้ตายได้
๑๔
กรณีมารดาไม่ให้ความยินยอม หรือเด็กยังไร้เดียงสาอยู่
ผู้ร้องไม่จำต้องไปดำเนินการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียน
อ้างอิงคำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๓๖๕/๒๕๕๐
๑๕
กรณีมารดาไม่ให้ความยินยอม ควรต้องให้ทนายมีหนังสือแจ้งมารดาเด็กก่อนยื่นคำร้อง
๑๖
คดีฟ้องรับรองบุตร ตาม พรบ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.๒๕๗๘ มาตรา ๒๐
ให้โจทก์ยื่นสำเนาคำพิพากษาพร้อมรับรอง
ต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการบันทึกในทะเบียนได้เลย
๑๗
ค่าเลี้ยงดูควรใช้อายุเป็นเกณฑ์มากกว่าการศึกษา
๑๘
การฟ้องให้รับเด็กเป็นบุตร กรณีบิดามีชีวิตต้องทำเป็นคำฟ้อง กรณีบิดาเสียชีวิตต้องทำเป็นคำร้อง
และส่งสำเนาให้ทายาทคัดค้าน อ้างอิงคำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๕๕๒๕/๒๕๓๗ ๘๕๐๔/๒๕๔๔
๑๙
กรณีศาลมีคำพิพากษาให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู แต่ไม่ปฏิบัติ
อีกฝ่ายสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกตัวมาสอบถามและตักเตือนได้
หากไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือนของศาล
ศาลมีอำนาจออกหมายจับและสั่งกักขังจนกว่าจะนำเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูมาชำระ ตาม
พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธิพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๑๖๒